BSI Insurance Broker Limited

ทำไมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จึงมีค่าซ่อมแซมที่แพงกว่าสำหรับบริษัทประกัน?

เมื่อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมมากขึ้น บริษัทประกันภัยก็ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) แบบเดิม มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวโน้มนี้

1. ทักษะการซ่อมเฉพาะทาง:
รถ EV ต้องการความเชี่ยวชาญพิเศษในการซ่อมแซม โดยเฉพาะระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อนและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ช่างซ่อมจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมพิเศษเพื่อจัดการกับชิ้นส่วนไฟฟ้าแรงสูงอย่างปลอดภัย ทำให้ค่าแรงและเวลาซ่อมเพิ่มขึ้น

2. ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่มีราคาแพง:
รถ EV มักมีชิ้นส่วนราคาสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ซึ่งอาจมีราคาแพงกว่าชิ้นส่วนของรถ ICE หลายเท่า ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแบตเตอรี่อาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 200,000 บาทไปจนถึง 600,000 บาทหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ หากโมดูลแบตเตอรี่เสียหาย มักต้องเปลี่ยนทั้งชุด ส่งผลให้ค่าซ่อมพุ่งสูงขึ้น

3. ตัวเลือกในการซ่อมมีจำกัด:
ศูนย์ซ่อมที่สามารถดูแลรถ EV ยังมีน้อยเมื่อเทียบกับศูนย์ซ่อมรถ ICE ความขาดแคลนนี้ทำให้ต้องรอคิวซ่อมนานขึ้น ค่าแรงสูงขึ้น และอาจต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะทางที่มีราคาแพง

4. เทคโนโลยีที่ทันสมัย:
รถ EV จำนวนมากมาพร้อมกับระบบเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) การซ่อมแซมหรือปรับเทียบระบบเหล่านี้หลังเกิดอุบัติเหตุสามารถเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทประกันได้อย่างมาก

สรุปแล้ว การรวมกันของค่าแรงเฉพาะทาง ชิ้นส่วนราคาแพง ตัวเลือกการซ่อมที่จำกัด และเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้การซ่อมแซมรถ EV มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าสำหรับบริษัทประกันเมื่อเทียบกับรถ ICE ส่งผลต่อเบี้ยประกันและต้นทุนการเป็นเจ้าของรถสำหรับผู้บริโภค

ในอนาคต ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะลดลง ทำให้รถ EV น่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมการใช้รถ EV

Facebook
รับความคุ้มครองที่คุณต้องการ

แบ่งปันข้อมูลของคุณกับเรา แล้วเราจะช่วยแนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อความสบายใจของคุณ